Search

ตลาดรถโลกพร้อมเข้าสู่ยุค EV กันแล้วหรือยัง ? - ผู้จัดการออนไลน์



ปฏิเสธไม่ได้ว่ารถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในมีการปล่อยมลพิษและมีส่วนในการทำให้เกิดสภาวะโลกร้อน บวกกับมนุษย์เริ่มมองหาการขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีที่มีความยั่งยืน และนั่นคือแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้หลากหลายเทคโนโลยียานยนต์ที่จะต้องเข้ามาบทบาทในการจัดการเกี่ยวกับเรื่องนี้ถูกคิดค้นขึ้นมา ทั้งในแบบที่ช่วยลดบางส่วน หรือไม่ปล่อยมลพิษออกมาอีกเลยอย่างรถยนต์ไฟฟ้า หรือ EV (Electric Vehicle)

แน่นอนว่า ความแรงของรถยนต์พลังไฟฟ้าทำให้ถนนทุกสายที่เกี่ยวข้องในวงจรของอุตสาหกรรมนี้มุ่งหน้าไปอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว และนั่นคือสิ่งที่เรากำลังเดินหน้า ซึ่งยุโรปเองมีการปักธงเอาไว้ว่าภายในปี 2578 รถยนต์ใหม่ที่ขายในสหภาพยุโรปหรือ EU จะต้องเป็นพวก Emission-Free Car หรือรถยนต์ที่ไม่มีการปล่อยมลพิษออกมาในระหว่างการใช้งาน ซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ว่า มันคือ รถยนต์ไฟฟ้า เพราะเป็นเทคโนโลยีเดียวที่เราสามารถผลิตออกมาขายในเชิงพาณิชย์ได้ในตอนนี้

แต่คำถามที่น่าสนใจและถูกส่งออกมาจากประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรป (ซึ่งก็น่าจะรวมถึงพวกเราด้วยเช่นกัน) ว่า ตอนนี้พวกเขา (และพวกเรา) พร้อมที่จะเปลี่ยนผ่านจากรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน ซึ่งคุ้นเคยมามากกว่า 100 ปีมาเป็นรถยนต์ไฟฟ้า หรือ EV กันแล้วหรือยัง ?

ภาพเปรียบเทียบราคาของรถยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตขายในเชิงพาณิชย์ ซึ่งจะต้องใช้เวลาอีกสักระยะในการที่จะมีราคาถูกกว่าเครื่องยนต์สันดาปภายใน ซึ่งในสหภาพยุโรปเชื่อว่าน่าจะเป็นในปี 2569
ค่ายรถขานรับความเปลี่ยนแปลง ยกเว้น…

หลายค่ายประกาศจุดยืนชัดเจนเรื่องการหันมาสู่กระบวนการผลิตรถยนต์ ซึ่งแน่นอนว่าตรงนี้น่าจะต้องมีการสังเคราะห์และวิเคราะห์ถึงความเป็นไปได้ในอนาคตว่า รถยนต์ไฟฟ้าคือ กระแสหลักของการขับเคลื่อนในยุคหน้าอย่างไม่ต้องสงสัย แต่สิ่งที่คำถามนี้ถูกยิงขึ้นมาก็เพราะ การเปลี่ยนผ่านจากรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในมาเป็นรถยนต์ไฟฟ้านั้น ใช้เวลาที่เร็วเกินไป เรียกว่าแทบจะพลิกฝ่ามือเลย จนหลายคนมองว่า อาจจะก่อให้เกิดการล่มสลายของอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับการผลิตรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในเลยก็ว่าได้ หากไม่มีการปรับตัวให้ทันต่อความเปลี่ยนแปลง

ส่วนเสียงตอบรับจากผู้ผลิตรถยนต์ แน่นอนว่าพวกเขาไม่มีทางทานกระแสของความเปลี่ยนแปลงนี้อย่างแน่นอน GM หรือ General Motors ประกาศผลิตรถยนต์ EV มากถึง 30 รุ่นในปี 2568 เช่นเดียวกับที่ Jaguar จะผลิตเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้าออกขายในตลาดช่วงปี 2568 และ Ford จะทำแบบเดียวกันภายในปี 2573โดยที่เกือบทุกค่ายในโลกตั้งเป้าเอาไว้ว่าภายในปี 2583 จะไม่มีรถยนต์ที่ปล่อยคาร์บอนออกสู่บรรยากาศอีกต่อไป

นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้น ยกเว้นเพียงรายเดียว คือ นักวิทยาศาสตร์ Toyota ที่ยังมองว่า อุตสาหกรรมรถยนต์เปลี่ยนแปลงไปสู่รถยนต์ไฟฟ้าเร็วเกินไป


Gill Pratt หัวหน้าที่ดูแลในส่วนนักวิทยาศาสตร์ของ Toyota Motors Corp กล่าวในการสัมนา Reuters Events Automotive Summit เมื่อวันที่ 21 ตุลาคมที่ผ่านมา ‘ไม่ใช่ว่าทุกคนที่จะเหมาะกับรถยนต์ไฟฟ้า’ โดย Pratt กล่าวเพิ่มเติมว่า จริงอยู่ที่เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงในเรื่องของการใช้ยานยนต์ที่ขับเคลื่อนแบบไร้มลพิษ แต่ทว่าก่อนที่จะไปถึงตอนนั้น ควรจะมีเทคโนโลยีอื่นๆ เข้ามาคั่นกลางก่อน ไม่ว่าจะเป็นไฮบริด หรือเซลล์เชื้อเพลิง เพื่อเป็นเสมือนกับทางเลือกที่หลากหลายให้กับผู้บริโภคในตลาดเพื่อเลือกใช้ตามความเหมาะสมในการมีส่วนร่วมลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์

Pratt กล่าวเสริมว่า ‘แรงจูงใจของรัฐบาลควรมุ่งเป้าไปที่วิธีในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน ไม่ใช่การเลือกว่าเทคโนโลยียานยนต์แบบใดเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการบรรลุเป้าหมายเหล่านั้น’ อย่างไรก็ตาม ความคิดในเชิงนี้ถูกมองว่า เป็นเพราะ Toyota ยังต้องการรักษาผลประโยชน์ของตัวเอง ด้วยการสนับสนุนเทคโนโลยีที่พวกเขาผลักดันและขับเคลื่อนมาตลอด 20 ปีอย่างไฮบริด และเซลล์เชื้อเพลิงมากกว่าที่จะช่วยขับเคลื่อนกันอย่างจริงจัง

นอกจากนั้น ทาง Toyota เองก็ลงทุนมากกว่า 13.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯตลอดปี 2573 ในการสร้างโรงงานผลิตแบตเตอรี่ และวางแผนการเปิดตัวรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังไฟฟ้าออกสู่ตลาด แต่ก็ยังดูเหมือนไม่เยอะเท่ากับคู่แข่งอย่าง GM และ Ford ที่ทุ่มเงินมากถึง 30.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในการทำแบบเดียวกัน


แล้วเมื่อไรราคาถึงจะจับต้องได้

ข้างบนคือแนวคิดและนโยบายของผู้ผลิต แต่สำหรับผู้บริโภคนั้น ประเด็นในเรื่องของราคาเป็นสิ่งสำคัญ และช่วงที่ผ่านมาทุกคนมักจะคิดว่า รถยนต์ไฟฟ้าเป็นของเล่นคนรวย เพราะมีราคาที่ค่อนข้างสูง อันเนื่องมาจากต้นทุนในการผลิตหลายๆ ชิ้นส่วน โดยเฉพาะแบตเตอรี่ที่ยังสูงอยู่

ถ้าอยากให้ทุกอย่างใกล้เคียงกับรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายในละ ? จะต้องรอกันอีกนานแค่ไหน ? ตรงนี้เคยมีการวิเคราะห์และประเมินกันโดยอ้างอิงจากงานวิจัยจาก Bloomberg NEF โดยระบุว่าในสหภาพยุโรป รถยนต์ไฟฟ้าจะมีราคาต่ำกว่ารถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในที่มีระดับตลาดเดียวกันได้ภายในปี 2569-2570

แบตเตอรี่ยังเป็นตัวแปรหลักในด้านต้นทุนที่ทำให้รถยนต์ไฟฟ้ามีราคาแพง แต่ทว่าในอนาคตอันใกล้นี้เชื่อว่า ราคาของเทคโนโลยีจะถูกลงเรื่อยๆ ภายในปี 2569 กลุ่ม SUV จะมีราคาถูกกว่ารุ่นที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน ส่วนรถยนต์ซับคอมแพ็กต์ หรือ B-Segment ที่ขายในสหภาพยุโรปจะตามมาในปี 2570 ซึ่งทั้งหมดเป็นเพราะรถยนต์หลายรุ่นมีการแชร์พื้นฐานเดียวกัน และไม่มีความซับซ้อนในแง่ของชิ้นส่วนมากเท่ากับรถยนต์ในปัจจุบัน เช่นเดียวกับการลงทุนในแง่ของสายการผลิตที่จะส่งผลต่อต้นทุนด้วย


ความพร้อมที่มีเพิ่มขึ้น

อีกสิ่งที่มักจะพูดถึงอยู่เสมอ คือ เราจะมีจุดชาร์จสาธารณะที่ถือเป็นระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานสำหรับการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าจะมีเพียงพอหรือไม่ ?

ประเด็นนี้เรียกว่าแทบจะไม่ต้องเป็นห่วงอะไรเลย เพราะอย่างไรก็ตาม ภาครัฐที่เป็นส่วนผลักดันให้รถยนต์ไฟฟ้ากลายเป็นกระแสหลักในการใช้งานส่วนบุคคลนั้นจะต้องมีนโยบายรองรับเอาไว้อยู่แล้ว อย่างในสหภาพยุโรป มีการปรับปรุงร่างกฎหมายว่าด้วยเรื่องระบบสาธารณูปโภคในการชาร์จไฟ หรือ Charging infrastructure law (AFIR) และนั่นหมายความว่าภายในปี 2568 รถยนต์ไฟฟ้าทั่วยุโรปตะวันตกจะสามารถขับข้ามประเทศได้โดยที่ไม่ต้องกังวลในเรื่องของการมองหาที่เสียบปลั๊กชาร์จอีกต่อไป โดยตั้งเป้าเอาไว้ว่าจะต้องมี 1 ล้านจุดภายในปี 2568 และเพิ่มเป็น 3 ล้านจุดภายในปี 2573 เพื่อรองรับกับปริมาณรถยนต์ไฟฟ้าที่คาดว่าเมื่อถึงตอนนั้นน่าจะมีราว 50 ล้านคัน

นี่คือ มาตรการที่ภาครัฐเข้ามามีส่วนในการจัดการเพื่อทำให้รถยนต์ไฟฟ้าสามารถพร้อมใช้งานได้ ซึ่งในแต่ละประเทศก็ต้องมีการวางแผนเพื่อรองรับกับความเปลี่ยนแปลงตรงส่วนนี้


มลพิษจากแบตเตอรี่ต่ำกว่าที่คิด

จุดเดียวที่ทำให้รถยนต์ไฟฟ้ามีความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมและคนใช้คือ เรื่องแบตเตอรี่ ทั้งในแง่การใช้งานและการกำจัด

ต้องบอกว่าแบตเตอรี่ที่ถูกใช้ในรถยนต์ไฟฟ้านั้น สามารถใช้งานได้นาน และยังนำกลับเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลได้อีกด้วย ขณะที่สารอย่างโคโบลท์ที่ทุกคนมองว่าเป็นอันตรายก็มีปริมาณไม่ได้มาก (น้อยกว่า 8 กิโลกรัมสำหรับแบตเตอรี่แบบ NMC622 ขนาด 60 kWh) ซึ่งด้วยแบตเตอรี่ขนาดนี้คุณสามารถใช้งานมันได้นานนับ 10 ปี อีกทั้งยังสามารถนำโคบอลท์จากแบตเตอรี่ลูกเก่ามาใช้กับลูกใหม่ได้ด้วย

อีกสิ่งที่น่าสนใจคือ มีการเปรียบเทียบในเรื่องของแบตเตอรี่ตลอดอายุการใช้งานในรถยนต์ไฟฟ้าเทียบกับการใช้น้ำมันของรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในนั้น รถยนต์แบบหลังจะใช้น้ำมันมากถึง 17,000 ลิตรตลอดอายุเฉลี่ยของการใช้งาน (ในยุโรป) ซึ่งหมายถึงปริมาณของไอเสียที่ถูกปล่อยออกมาในจำนวนที่น่าหวาดหวั่นมากกว่าอันตรายจากสิ่งที่อยู่ในแบตเตอรี่เสียอีก

แน่นอนว่าความหวาดกลัวและกังวลต่อความเปลี่ยนแปลง ถือเป็นปัจจัยแรกที่ส่งผลกระทบต่อการที่เราจะเปลี่ยนอะไรสักอย่าง ดังนั้น การให้ข้อมูลและการสร้างความเชื่อมั่นต่อความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนั้นเป็นการเปลี่ยนเพื่อสิ่งที่ดีขึ้น ถือว่ามีความสำคัญอย่างมาก อีกทั้งตลอด 5 ปีนับจากนี้ยังถือว่าเป็นระยะเวลาอีกค่อนข้างนานที่บรรดาผู้ที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าจะต้องเตรียมการ และเชื่อว่าถนนทุกสายของการขับเคลื่อนนับจากนี้ จะมุ่งตรงไปยังเป้าหมายเดียวกัน นั่นคือ รถยนต์พลังไฟฟ้าอย่างแน่นอน

Adblock test (Why?)

อ่านบทความและอื่น ๆ ( ตลาดรถโลกพร้อมเข้าสู่ยุค EV กันแล้วหรือยัง ? - ผู้จัดการออนไลน์ )
https://ift.tt/3bU1xTS
รถยนต์

Bagikan Berita Ini

0 Response to "ตลาดรถโลกพร้อมเข้าสู่ยุค EV กันแล้วหรือยัง ? - ผู้จัดการออนไลน์"

Post a Comment

Powered by Blogger.