ซื้อรถยนต์คันแรก เตรียมวางแผนการเงินอย่างไรดี ควรรู้อะไรบ้าง - MoneyGuru

จะซื้อรถยนต์สักคัน ใช้เงินไม่ใช่น้อยๆ ยิ่งเป็นการ ซื้อรถยนต์คันแรก ก่อนตัดสินใจเลือกซื้อ จึงควรหาข้อมูลดีๆ ก่อนว่าจะ เตรียมวางแผนการเงินอย่างไรดี ควรรู้อะไรบ้าง … เพื่อไม่ให้เป็นภาระในภายหลัง เพราะการซื้อรถยนต์คันหนึ่ง ไม่ได้มีแค่ค่างวดรถที่ต้องจ่ายรายเดือนเท่านั้น แต่ยังมีค่าใช้จ่ายจิปาถะอีกมากมายให้คุณต้องรับผิดชอบ

บทความวันนี้ เลยไปรวบรวมข้อมูลน่ารู้ดีๆ เกี่ยวกับการซื้อรถยนต์คันแรกมาฝาก เผื่อว่าจะเป็นประโยชน์ให้คุณได้รีเช็กกับตัวเองอีกครั้งว่า พร้อมแล้วจริงๆ กับการเป็นเจ้าของรถสักคัน

ซื้อรถยนต์คันแรก เตรียมวางแผนการเงินอย่างไรดี

จริงๆ ถ้าชีวิตมีเงินเหลือใช้ จะทำอะไรก็คงไม่ต้องคิดเยอะ แต่ความเป็นจริงของชีวิตผู้คนส่วนใหญ่ไม่ได้จะมีช่องทางในการสร้างรายได้ที่เท่ากัน ยิ่งต้องมาเจอกับสถานการณ์โควิด 19 ที่ทำให้อะไรๆ หลายอย่างเปลี่ยนไป จะใช้จ่ายอะไร ก็ต้องคิดให้ดีและรอบคอบ

ทีนี้ หากคุณอยากจะซื้อรถยนต์คันแรก มาใช้งานในช่วงนี้ เพราะชักไม่แน่ใจว่าโควิดจะอยู่กับเราอีกนานมั๊ย และมีความกังวลว่าการขึ้นรถสาธารณะก็ไม่ได้ให้ความปลอดภัยมากนัก ฉะนั้น ถ้ามีรถยนต์ส่วนตัว ก็คงจะช่วยให้สบายใจและมีความสะดวกสบายในการเดินทางมากขึ้น ฟังดูมีเหตุผล …

แต่เหตุผลนี้ มีน้ำหนักและมีความจำเป็นมากพอให้ต้องออกรถใหม่แล้วหรือยัง ลองเช็กดูได้จากลิสต์ด้านล่างนี้เลย ว่าคุณมีความพร้อมแล้วจริงๆ หรือไม่ที่จะซื้อรถ …

มีค่าดาวน์รถ และค่างวดรถแล้วหรือยัง

ค่าใช้จ่ายในการ ซื้อรถยนต์คันแรก ที่ต้องเจอเป็นด่านแรก คือ ค่าดาวน์รถและค่างวดรถในแต่ละเดือน ซึ่งถือเป็นค่าใช้จ่ายหลัก และค่าใช้จ่ายที่มีมูลค่าสูง คุณจึงควรวางแผนเรื่องการเงินให้เป็นอย่างดี และควรรู้รายละเอียดในการใช้จ่ายของตนเองในแต่ละเดือนว่า มีความสามารถในการผ่อนชำระค่างวดต่อเดือนได้มากน้อยเพียงใด เพื่อจะได้ไม่ต้องเดือดร้อนเรื่องเงินในภายหลัง

ค่าเชื้อเพลิงแต่ละเดือน

หลังจากได้รถยนต์คันแรกมาแล้ว ค่าใช้จ่ายที่หลีกหนีไม่พ้นคือค่าเชื้อเพลิง ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันเบนซิน ดีเซล หรือก๊าซ ก็ล้วนมีค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น ดังนั้น อย่าลืมคำนวณค่าใช้จ่ายประจำเดือนเพื่อสำรองเงินส่วนนี้ไว้ทุกเดือนด้วย โดยเฉพาะรถที่ใช้น้ำมันเบนซิน ดีเซล ที่มักมีความผันผวนของราคาอยู่ตลอดเวลา

ค่าบำรุงรักษา

มีรถไว้ใช้งาน ก็ย่อมต้องมีค่าบำรุงรักษาตามมา เพื่อความปลอดภัย จึงควรนำรถเข้าตรวจเช็กสภาพการใช้งานตามระยะทางหรือตามเวลาที่กำหนดไว้ ซึ่งส่วนใหญ่จะตรวจสอบทุก 10,000 กม. หรือ 6-12 เดือน เพื่อยืดอายุการใช้งานของอะไหล่ต่าง ๆ ดังนั้นหากใครที่กำลังวางแผนดาวน์รถ หรือขอสินเชื่อรถยนต์ใหม่อยู่ อย่าลืมวางแผนการเงินสำหรับค่าใช้จ่ายส่วนนี้เอาไว้ด้วย

ค่าประกันภัยรถยนต์

สำหรับคนที่ออกรถใหม่มักจะเลือกทำประกันภัยรถยนต์กันทุกคน โดยเฉพาะมือใหม่หัดขับ เพราะแม้ค่าใช้จ่ายต่อปีจะราคาสูง แต่หากเกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดฝันขึ้น บริษัทประกันภัยจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมรถของคุณและคู่กรณีให้ตามที่เลือกแบบประกันไว้

ค่าภาษี และ พ.ร.บ.รายปี

ภาษีรถยนต์ และพ.ร.บ.รายปี ถือเป็นค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียเป็นประจำทุกปี โดยภาษีของรถแต่ละรุ่นจะแตกต่างกันไปตามขนาดและกำลังเครื่องยนต์ รวมถึงอายุการใช้งานของตัวรถด้วย ซึ่งอัตราภาษีในปีที่ 1-5 จะคงที่ ส่วนค่าพ.ร.บ.รายปี เป็นประกันภัยภาคบังคับโดยกฎหมาย เพื่อใช้คุ้มครองค่ารักษาพยาบาลจากการบาดเจ็บของผู้ขับขี่

จากข้อมูลข้างต้น การรู้สถานะทางการเงินของคุณเองในปัจจุบันจึงเป็นเรื่องที่ดีที่สุด ก่อนตัดสินใจซื้อรถยนต์คันแรก หรือรถคันใหม่ ควรเช็คสถานะทางการเงินเบื้องต้นของตัวเองให้ดีว่า …

มีเงินพร้อมที่จะดาวน์รถเท่าไหร่?
มีเงินเดือนมากพอสำหรับผ่อนรถและใช้จ่ายในส่วนต่างๆ หรือยัง?
สถานะของตัวเองเหมาะกับรถยนต์ราคาเท่าไหร่?

เพราะหากคุณประเมินสถานการณ์ผิด อาจทำให้ความสุขที่จะได้ซื้อรถ เป็นเหตุให้คุณต้องทุกข์ใจภายหลัง เช่น เป็นมนุษย์เงินเดือน 20,000 บาท คงไม่ดีแน่ๆ ถ้าต้องมีค่าผ่อนรถและดอกเบี้ยรายเดือน ที่ต้องจ่าย ประมาณ 8,000 บาท เพราะทฤษฎีของการเป็นหนี้ ที่ผ่อนไว้ ไม่ควรเกิน 35 – 40% ของรายได้ต่อเดือนด้วยซ้ำ

นอกจากนี้ ค่าใช้จ่ายแฝงที่ให้ข้อมูลไป เรียกว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายที่งอกขึ้นมาในแต่ละเดือนแบบทันทีด้วย เช่น ค่าน้ำมัน ที่ต่อให้ใช้ประหยุดสุดๆ ก็ต้องจ่ายเดือนละ 2,000 – 3,000 บาท, ค่าประกันภัยชั้นหนึ่ง ปีละเกือบหมื่น, ค่าเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง รวมถึงค่า พรบ. และภาษีรถยนต์ ที่ต้องเสียทุกปี

ที่ปวดใจสุดก็คือ ค่าเสื่อมราคาของรถยนต์ เพราะรถยนต์เป็น “สินทรัพย์” ที่อยู่เป็นเพื่อนร่วมทางของเรานานกว่า 1 ปี เมื่อเวลาผ่านไปมันก็จะทรุดโทรมลงตามสภาพการใช้งาน ยิ่งมีรุ่นใหม่ๆ ออกมา มูลค่าของรถคันเก่าก็มีแต่จะน้อยลง ซึ่งสิ่งนี้จะกลายมาเป็นค่าใช้จ่ายที่มองไม่เห็นและไม่ค่อยมีใครรู้จัก เรียกว่า “ค่าเสื่อมราคา-รถยนต์” ที่สามารถคำนวณออกมาง่ายๆ ได้ดังนี้

สมมุติซื้อรถยนต์ราคา 750,000 บาท อายุการใช้งาน 10 ปี มีราคาขายในอนาคต 150,000 บาท ค่าเสื่อมราคาจะเท่ากับ (750,000-150,000)/10 = 60,000 บาทต่อปี เท่ากับว่าเมื่อเราขับรถไปเดือนนึง มูลค่าของมันจะลดลง 5,000 บาท

และทั้งหมดนี้คือค่าใช้จ่ายที่คุณจะต้องเจอเมื่อคุณซื้อรถคันแรก หากใครที่กำลังวางแผนดาวน์รถ หรือขอสินเชื่อรถยนต์ใหม่อยู่ ก็อย่าลืมคำนวณค่าใช้จ่ายและวางแผนการเงินของคุณให้ดีๆ ละกัน

ข้อควรรู้ … ถ้าอยากจะซื้อรถยนต์คันแรก

แน่นอนว่า การจะซื้อรถยนต์สักคัน ไม่ว่าจะเป็นคันแรกหรือไม่ก็ตาม ควรทำความรู้จักรถยนต์คันที่เรากำลังจะซื้อว่ามันมีคุณสมบัติอะไรบ้าง ราคาเท่าไร พร้อมเปรียบเทียบความคุ้มค่าระหว่างยี่ห้ออื่น ว่ามีความคุ้มค่ามากกว่าหรือเปล่า และนอกเหนือจากข้อควรรู้ในเรื่องค่าใช้จ่ายแล้ว ยังมีอะไรอีกบ้างที่ควรรู้ …

ควรเลือกซื้อรถที่โชว์รูมใกล้บ้าน จะช่วยให้คุณได้รับการดูแลเป็นประจำอย่างดีที่สุด แม้ความเป็นจริงในการซื้อรถเราไม่ปฏิเสธว่าโชว์รูมแต่ละแห่งมีข้อเสนอที่ต่างกัน ทว่าทั้งหมดนั้นก็มีการกำหนดราคากลางมา (Margin) จากค่ายรถยนต์เพื่อให้เกิดการแข่งขันเท่าเทียมกัน ดังนั้นส่วนที่เหลือก็เป็นการนำเสนอของเซลล์ และข้อเสนอเรื่องของแถม แต่ทั้งหมดนั้นก็อยู่บนพื้นฐานที่ว่า ไม่สามารถให้ได้มากกว่าราคากลางที่กำหนดไว้

ลองขับรถที่หมายปองก่อนซื้อ เพราะหลายครั้งทีเดียวที่เราพบว่า คนจำนวนมากซื้อรถแล้วกลับต้องขายทิ้งในเวลาไม่นาน ด้วยสาเหตุที่ว่ารถคันนั้นไม่สามารถตอบสนองการใช้งานได้อย่างที่คาดหวัง สาเหตุนี้นับเป็นเรื่องที่สำคัญที่คุณจะต้องทำความเข้าใจและพิจารณาให้ดี และทางที่ดีที่สุดคือลองขับรถคันที่คุณอยากได้ดูว่า ขับได้โอเคอย่างที่คุณหวังมั๊ย รวมถึง ต้องพิจารณาดูดีๆ ว่า รถที่เลือกมา มีความเหมาะสมกับวัตถุประสงค์ในการใช้งานแล้วจริงๆ

ดูข้อเสนอไฟแนนซ์ดีๆ เรารู้ว่าปัจจุบันน้อยคนนักที่จะซื้อรถยนต์ด้วยเงินสด และบรรดาสถาบันการเงินต่างๆ นั้นก็มอบโอกาสในการเป็นเจ้าของรถให้มากมาย แต่อย่าลืมว่า ไม่มีใครให้อะไรเราฟรีๆ ข้อเสนอที่ให้เราเป็นเจ้าของรถ โดยใช้เงินได้น้อยตอนซื้อ อาจทำให้คุณต้องชีช้ำในภายหลังด้วยดอกเบี้ยแสนแพง

ดังนั้น จำเอาไว้ว่า ดาวน์ต่ำ ผ่อนน้อย ระยะนาน..มักดอกเบี้ยแพง ต้องพิจารณาให้รอบคอบ ทั้งเรทเงินดาวน์และดอกเบี้ยในการผ่อน แม้ว่าดูภายนอก เราอาจะเห็นว่าตัวเลขของดอกเบี้ยต่างกันนิดเดียว แต่พอนำมาคำนวณแล้วจริงๆ จะเห็นเลยว่า ยอดที่ต้องจ่าย ต่างกันมากอยู่