โครงสร้างตัวถังที่แข็งแกร่ง เครื่องยนต์ทรงพลัง และระบบกันสะเทือนที่เพิ่มการยึดเกาะสูงสุด คือหัวใจพื้นฐานของรถยนต์สมรรถนะสูง ทุกวันนี้ก่อนท่ีเครื่องยนต์จะถูกแทนที่ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า ผู้ผลิตได้พัฒนาคุณสมบัติต่างๆ มากมาย ที่สามารถช่วยให้รถที่ออกขายได้รับประโยชน์เพิ่มเติมจากอุปกรณ์พื้นฐานที่ช่วยยกระดับสมรรถนะให้ดีกว่าเดิม วิ่งเร็วขึ้นบนทางตรง เข้าโค้งได้เร็วขึ้น และทำเวลาต่อรอบในสนามแข่งลดลง
ถ้าไม่นับมอเตอร์ขับเคลื่อนที่ทรงพลังในการเอาเปรียบเชิงกลของรถยนต์ไฟฟ้า ด้วยคุณสมบัติ 10 ประการของอุปกรณ์เหล่านี้ ที่จะช่วยให้ยานยนต์สันดาปภายในยุคใหม่วิ่งเร็วขึ้น
Limited-slip differentials
ช่วยให้ล้อหมุนด้วยความเร็วที่ต่างกัน หากล้อด้านนอกล็อก ล้อด้านในจะต้องหมุนผ่านมุมต่างๆ เนื่องจากรัศมีของยางแต่ละเส้นนั้นแตกต่างกัน ในเฟืองท้ายแบบมาตรฐาน กำลังจะไหลไปยังล้อโดยมีความต้านทานน้อยที่สุด นั่นหมายความว่ารถอาจลื่นไถลหรือติดอยู่บนหล่มโคลนได้ แม้ว่าล้อขับเคลื่อนข้างหนึ่งจะอยู่บนทางที่แห้ง ล้อที่ลงไปในโคลนหรือไม่ยึดเกาะจะฟรีทิ้งไปเปล่าๆ และยิ่งทำให้สถานะการย่ำแย่ลงไปอีก คำตอบสำหรับการแก้ปัญหานี้คือเฟืองท้ายลิมิเต็ดสลิป ซึ่งจะส่งกำลังไปยังล้ออีกด้านหนึ่งเมื่อล้อหนึ่งเริ่มลื่นไถล LSD มีทั้งแบบกลไก (ผ่านเกียร์ คลัตช์ หรือข้อต่อที่มีความหนืด) หรือแบบอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อเชื่อมล้อเข้าด้วยกันในอัตราส่วนต่างๆ LSD แบบอิเล็กทรอนิกส์ใช้คลัตช์หลายแผ่น ควบคุมโดยมอเตอร์ไฟฟ้าที่กำหนดอัตราส่วนสลิป การขับเคลื่อนทั้งสองล้อช่วยป้องกันการลื่นไถลของล้อด้านในเมื่อออกจากทางเลี้ยว และส่งกำลังไปยังล้อที่ยึดเกาะดีอย่างเต็มประสิทธิภาพมากขึ้น
เฟืองท้ายที่นิยมใช้ในรถยนต์นั่ง มี 2 แบบ คือ
1. เฟืองท้ายแบบธรรมดา หรือ Conventional
2. เฟืองท้ายแบบการหมุนฟรีจำกัด หรือ LSD
ชนิดของเฟืองท้าย Limited Slip Differential
– 1 way LSD หรือระบบ limited Slip แบบทางเดียว ทำหน้าที่ส่งกำลังไปยังล้อทั้ง 2 ด้านเฉพาะเวลาเหยียบคันเร่ง จะทำให้เกิดแรงบิดไปผลักดันกลไกภายในให้ทำงาน แต่พอถอนคันเร่งก็หยุดการทำงาน LSD แบบนี้มักจะติดตั้งมากับรถโรงงาน เวลารถเข้าโค้งแล้วถอนคันเร่ง การทำงานจะมีลักษณะเหมือนเฟืองขับปกติ
– 2 way LSD หรือระบบ limied Slip แบบสองทาง ทำงานทั้งในขณะเหยียบคันเร่งและถอนคันเร่ง LSD แบบนี้จะส่งกำลังได้ดีในทางตรงและควบคุมรถได้ง่ายกว่าเวลาขับเข้าโค้ง และทำให้เกิดอาการ Understreer ได้ตามที่ต้องการ
– 1.5 way LSD พัฒนาจากการใช้งานระหว่าง 1 way และ 2 way ซึ่งแบบนี้จะทำงานเต็มที่เมื่อเหยียบคันเร่ง แต่พอถอนคันเร่งจะทำงานได้น้อยกว่า แต่ข้อดีคือลดอาการ Understreer ได้มาก
รถในปัจจุบันส่วนมากจะมี LSD กันอยู่แล้วครับ โดยรถทั่วไปจะเป็น 1 way limited slip และรถกระบะแทบทุกรุ่น จะใส่เป็น 2-way limited slip มาให้จากโรงงาน (ขึ้นอยู่กับรุ่น และยี่ห้อของรถด้วยครับ)
ตำแหน่งเฟืองท้ายในรถแต่ละประเภท
รถขับเคลื่อนล้อหลัง เครื่องอยู่หน้า >> เฟืองท้ายจะอยู่ที่เสื้อเพลาหลัง และมีเพลากลาง ต่อจากเกียร์มายังเฟืองท้าย
รถขับเคลื่อนล้อหน้า เครื่องอยู่หน้า และรถขับเคลื่อนล้อหลัง เครื่องอยู่หลัง >> เฟืองท้ายจะต่อโดยตรงกับเกียร์ ไม่มีเพลากลาง
ข้อดีของ LSD เมื่อเทียบกับเฟืองท้ายแบบธรรมดา
1. ช่วยแก้ปัญหาเวลารถตกหล่ม ทำให้ล้ออีกด้านไม่หมุนฟรี สามารถใช้กับเส้นทางทุรกันดารได้ดีกว่า
2. การออกตัวดีขึ้น ลดอาการฟรีของล้อ เหมาะสำหรับรถควอเตอร์ไมล์
3. ช่วยในการออกโค้งได้ดีกว่า ลดอาการหมุนกลับ และสามารถใช้เทคนิคควบคุมรถได้
4. เพิ่มลูกเล่นและเทคนิคการขับรถได้มากขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบฝึกฝนหรือหาเทคนิคใหม่ๆ
ข้อเสีย
1. การเข้าโค้งจะยากกว่าและต้องระวังมากกว่า เพราะอาจทำให้รถเกิดการ Understeer ได้ง่าย
2. ยางสึกหรอเร็ว เพราะล้อที่ไม่หมุนฟรีต้องอาศัยการหมุนฟรีของยางที่สัมผัสกับถนนยางจะสึกหรออย่างรวดเร็ว และมีเสียงดัง
3. อายุการใช้งานของเพลาขับและลูกปืนล้อสั้นลงอย่างรวดเร็ว เพราะต้องรับแรงบิดเพิ่มขึ้น เพลาอาจขาดหรือลูกปืนแตกได้ง่าย
4. ดูแลรักษายาก ต้องดูแลอยู่เสมอ และมีการสึกหรอค่อนข้างสูง
5. ในรถแบบขับเคลื่อนล้อหน้าจะมีการขัดขืนเวลาเข้าโค้ง อาจเกิดการ Overstreer ได้ง่าย
Torque vectoring
Torque vectoring หรือ G vectoring มีสามประเภท ได้แก่ แบบกลไกและระบบเบรก แบบหลังใช้ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก โดยสั่งงานไปที่ล้อหลังด้านในตรงมุมเพื่อช่วยให้รถมีเสถียรภาพ ในปัจุบัน Torque vectoring ระบบกลไกมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยใช้คลัตช์ที่ด้านใดด้านหนึ่งของเฟืองท้าย เพื่อส่งกำลังทั้งหมดไปยังล้อด้านนอก บริษัทรถบางแบรนด์อาจเลือกที่จะให้ระบบสั่งเบรกล้อหลังด้านในด้วยเช่นกัน ผลลัพธ์คือรถเลี้ยวได้คมมากขึ้น ในสนามแข่ง Torque vectoring ที่มีประสิทธิภาพ (ใน 911 GT3) สามารถให้ผู้ขับใช้กำลังได้ตั้งแต่ต้นทางโค้ง เข้าโค้งได้เร็วขึ้น และทำให้การเลี้ยวสั้นลง นั่นเป็นสูตรสำเร็จสำหรับเวลาต่อรอบที่เร็วขึ้น มอเตอร์ไฟฟ้าในรถยนต์ไฮบริดและรถยนต์ไฟฟ้ายังมี Torque vectoring ที่มีประสิทธิภาพมากอีกด้วย Audi, Lexus, Mercedes-AMG และ Porsche เป็นหนึ่งในผู้ผลิตรถยนต์ที่มี Torque vectoring เชิงกลที่มีประสิทธิภาพ ในขณะที่ Acura, Audi, Koenigsegg, Polestar, Porsche ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าในกลไกของ Torque vectoring เพื่อเพิ่มความเฉียบคมในการเข้าโค้ง
Rear-wheel steering
ระบบช่วยเลี้ยวล้อหลังเป็นแนวคิดที่ค่อนข้างเรียบง่าย แต่เป็นออปชันเสริมราคาไม่ถูกในกลุ่มรถยนต์ Luxury ระบบช่วยเลี้ยวล้อหลัง ประกอบด้วยแอ็คชูเอเตอร์เชิงกลที่ควบคุมด้วยไฟฟ้า ทำหน้าที่บังคับล้อหลัง โดยทั่วไปจะทำมุมตรงข้ามกับล้อหน้า 2-3 องศา ที่ความเร็วต่ำ การบังคับเลี้ยวที่ความเร็วต่ำ ทำให้ระยะของการเลี้ยวแคบลง ช่วยให้การกลับลำ หรือขับเข้าที่จอดรถคับแคบง่ายขึ้น การปรับองศาของล้อหลัง เน้นการสร้างความสมดุล ทำให้เสถียรภาพการทรงตัวดีขึ้น โดยปกติระบบช่วยเลี้ยวล้อหลัง ทำงานที่ความเร็ว 60-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ดังนั้น ข้อได้เปรียบระหว่างการขับขี่ที่มีประสิทธิภาพคือการเข้าโค้งด้วยความคล่องแคล่วว่องไวบนตัวถังขนาดใหญ่ Mercedes-Benz, BMW, Audi, Lamborghini, Lotus, Porsche และอีกหลายแบรนด์ ต่างก็มีระบบบังคับเลี้ยวที่ล้อหลัง ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทรงตัว ลดระยะของการเลี้ยวให้สั้นลง และเพิ่มความคล่องตัวในโค้งความเร็วต่ำ
Adjustable dampers
ยิ่งระบบกันสะเทือนแข็งมากเท่าไร รถก็จะยิ่งควบคุมได้ดีขึ้นในสนามแข่ง แต่นั่นก็ไม่จริงเสมอไป เพราะยังมีตัวแปรอีกมากที่ทำให้รถไปได้เร็วขึ้นหรือช้าลง เราไม่ต้องการขับรถที่อาจจะทำให้ไส้เคลื่อน หรือหัวสั่นหัวคลอนทุกครั้งที่วิ่งผ่านผิวถนนไม่เรียบ โดยเฉพาะตอนที่ไปกับคุณแม่หรือคุณเมีย โช้คอัพแบบปรับได้มอบสิ่งที่ดีที่สุดของฟีลลิ่งทั้งสองแบบ โช้คอัพที่มีกลไกการทำงานของวาล์วในกระบอกโช้คแบบแปรผัน และสปริงโปรเกรสซีฟ (Progressvise Spring) ให้การขับขี่ที่นุ่มนวลบนถนน และแข็งขึ้นทันทีเพื่อรองรับการขับในสนามแข่ง โช้คอัพแบบปรับได้ที่แข็งกว่า ช่วยควบคุมสมรรถนะของรถ ทำหน้าที่รักษาหน้ายางให้สัมผัสกับผิวถนน ให้แรงยึดเกาะสูงในโค้ง โช้คอัพแบบแม่เหล็กไฟฟ้า เป็นหนึ่งในโช้คอัพแบบปรับได้ที่ตอบสนองได้ดี ในกระบอกโช้คเต็มไปด้วยของเหลวที่ผสมโลหะและกลไกของวาล์ว ของเหลวภายในจะหนืดขึ้น เมื่อมีการปล่อยประจุแม่เหล็ก และจะนิ่มลงเมื่อประจุถูกคลายออก
Sticky tires
นอกจากกำลังที่มากขึ้นแล้ว วิธีที่ดีที่สุดในการทำให้รถของคุณเร็วขึ้นคือยางซอฟต์และพลังในการเบรกที่หัวโค้ง ยางสมรรถนะสูงแบบซอฟต์คอมปาวด์ ช่วยเพิ่มความสามารถของรถในการรับมือกับแรง G ด้านข้าง ช่วยเพิ่มแรงยึดเกาะ ทำให้เร่งความเร็วผ่านโค้งได้เร็วขึ้น ส่งผลให้เวลาต่อรอบในสนามลดลง (แต่ก็ขึ้นอยู่กับฝีมือของคนขับอีกด้วย) ยางซอฟต์ของ Michelin รุ่น Pilot Super Sport Cup 2n หรือ Pirelli P-Zero Corsas สร้างความแตกต่างในการแข่งขัน หรือเมื่อต้องการทำเวลารอบให้เร็วขึ้น ข้อเสียของยางซอฟต์ก็คือ การสูญเสียแรงยึดเกาะที่อุณหภูมิต่ำกว่า 40 องศาและการสึกหรอของยางที่เร็วกว่ายางทั่วไป ยางซอฟต์ยังทำตัวเหมือนแม่เหล็กคอยดูดเศษกรวดเมื่อขับบนถนนปกติอีกด้วย นั่นทำให้รู้สึกรำคาญอยู่เหมือนกัน
Bigger/better brakes
ระบบเบรกที่มีประสิทธิภาพ เหมาะสมกับการขับในสนามแข่ง เบรกที่มีพลังในการหยุดยั้ง ช่วยให้คุณเร่งความเร็วได้มากขึ้น และเบรกเมื่อถึงหัวโค้งได้ดีขึ้น ระบบห้ามล้อที่มีประสิทธิภาพ ช่วยลดอาการเบรกเฟดระหว่างอัดเต็มเหนี่ยวในสนามแข่ง กฎทั่วไปเกี่ยวกับระบบเบรกก็คือ ยิ่งใหญ่ก็ยิ่งดี แต่ก็มีอะไรที่มากกว่านั้น เช่น น้ำหนักใต้สปริงที่จะเพิ่มขึ้นเมื่อเปลี่ยนขนาดของคาลิปเปอร์เบรกและจานเบรก เบรกใหญ่มีพื้นที่มากกว่า เพื่อการกระจายความร้อนที่ดีกว่า ผ้าเบรกประสิทธิภาพสูง มีละอองจากผงผ้าเบรกมากกว่า และอาจมีเสียงรบกวนจากการเบรก จานเบรกคาร์บอนเซรามิกเหมาะสมสำหรับงานสนาม คุณจะเบรกได้ดีขึ้นเมื่อจานเบรกมีอุณหภูมิสูง ระบบเบรกคาร์บอนเซรามิกช่วยลดน้ำหนักใต้สปริง ข้อเสียของคาร์บอนเซรามิกเบรกก็คือ มีราคาแพงมาก บางแบรนด์เซรามิกเบรกทั้งชุดมีราคาเกินหนึ่งล้านบาท
Track apps
Track apps แตกต่างกันไปตามข้อมูลที่มีให้ สามารถแสดงเวลาต่อรอบ คาบเวลาในการเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และจับเวลาเพื่อวิ่งควอเตอร์ไมล์ 0-400 m ตลอดจนแสดงผลตัวเลขของกำลัง แรงบิด และแรง G แบบเรียลไทม์ Track apps ที่ดีต้องมีกล้อง และสามารถบันทึกเซสชันการขับผ่านการ์ด SD ในรถ หรือผ่านแอปฯ โทรศัพท์มือถือได้ นอกจากนี้ยังรวมถึงการวัดต่างๆ เช่น ตำแหน่งคันเร่งและแป้นเบรก ตำแหน่งเกียร์ เวลารอบต่อนาที สปีดความเร็ว และการติดตาม GPS ของรถในสนามแข่ง การตรวจสอบข้อมูลทั้งหมดนี้จากเซสชันของสนามแข่ง ช่วยให้เจ้าของรถที่ชอบวิ่งในสนามแข่ง สามารถเปรียบเทียบตำแหน่งและสถานะของรถในรอบต่างๆ เพื่อกำหนดวิธีขับที่เร็วที่สุดในสนามแข่ง ผู้ขับสามารถปรับแต่งได้อย่างละเอียดเมื่อเหยียบเบรกหรือคันเร่ง ค้นหาว่าเกียร์ไหนทำงานได้ดีที่สุดในโค้งที่แตกต่างกัน และวิธีที่ดีที่สุดในการเข้าโค้ง สิ่งต่างๆ ซึ่งถูกใช้เป็นข้อมูลสำคัญที่ต้องเรียนรู้ แล้วคุณจะไปได้เร็วยิ่งขึ้นในการซิ่งครั้งต่อไป
Downshift rev matching
เมื่อขับขี่รถยนต์ที่ใช้เกียร์ธรรมดา ผู้ขับที่มีทักษะจะเหยียบคันเร่งในช่วงเปลี่ยนเกียร์ลง เพื่อให้สอดคล้องกับรอบเครื่องยนต์จากเกียร์หนึ่งไปยังอีกเกียร์หนึ่ง เทคนิคนี้เรียกว่า heel-and-toe ช่วยไม่ให้รถเสียสมดุลของความเร็ว อย่างไรก็ตาม การ heel-and-toe อย่างเชี่ยวชาญ ต้องใช้เวลาและความอดทนในการฝึกฝนเพื่อเพิ่มทักษะการควบคุมรถในสนามแข่ง Downshift rev matching เข้ามาดูแลคันเร่งให้คุณผ่าน ECU แน่นอนว่าคนขับใช้ทักษะน้อยลง แต่มันช่วยให้เรามุ่งความสนใจไปที่การควบคุมทิศทาง ไม่วิ่งไปอัดกำแพงในสนามช้างด้วยความเร็วสามหลัก ไม่ต้องกังวลเมื่อเสี้ยนผลักดันรถจนถึงขีดจำกัด
Drive modes
โหมดขับเคลื่อนทำให้รถมีสมรรถนะที่ตรงกับความต้องการในคาบเวลานั้นๆ โหมด Sport/Dynamic, Sport+ Track/Race เชื่อมต่อการทำงานกับระบบรองรับ หรือโช้คอัพแบบปรับอัตโนมัติ บางโหมดมีการผ่อนคลาย หรือแม้แต่ยกเลิกระบบควบคุมและรักษาเสถียรภาพของรถ โหมดขับเคลื่อนในรถยนต์สมรรถนะสูง ยังควบคุมการตอบสนองของคันเร่ง เกียร์ ช่วงล่าง พวงมาลัย รถยนต์บางรุ่นนั้นควบคุมได้แม้กระทั่งความสูงของรถที่อาจถูกปรับขึ้นหรือลง (แล้วแต่การเลือกโหมด) โหมดขับเคลื่อนที่ชาญฉลาด เพิ่มการตอบสนองของคันเร่งอย่างฉับพลัน สั่งงานให้ระบบเกียร์เปลี่ยนขึ้นหรือชิฟลงอย่างรวดเร็ว หรือคาตำแหน่งเกียร์ที่มีแรงบิดที่เหมาะสมนานขึ้น ถ่ายเทแรงบิดไปยังล้อทั้งสี่เพื่อความสมดุลสูงสุด ทั้งหมดนี้หมายถึงการเลี้ยวที่คล่องตัวขึ้น กำลังที่พร้อมมากขึ้นเมื่อกระโจนออกจากโค้ง การเปลี่ยนเกียร์ที่นุ่มนวลขึ้น ชิฟเกียร์ลงให้แบบอัตโนมัติเมื่อใช้เบรกอย่างหนักหน่วง
Adjustable stability control
สิ่งสุดท้ายที่คุณต้องการเมื่อขับเร็วจี๋ในสนามแข่งก็คือ ระบบควบคุมการทรงตัวที่ไม่เปิดโอกาสให้คุณไปเร็วขึ้นในโค้ง ระบบควบคุมและรักษาเสถียรภาพ อาจทำลายความเสี้ยนของคุณในการที่จะไปให้เร็วกว่าเพื่อนคันข้างๆ ที่ไม่ค่อยจะชอบขี้หน้า และต้องการเอาชนะด้วยเวลาต่อรอบ แต่การไปให้เร็วนั้นบางครั้งก็แฝงมาด้วยอันตราย ผู้ผลิตรถยนต์บางแบรนด์จึงคิดค้นปุ่มควบคุมเสถียรภาพและการยึดเกาะถนนหลายระดับมาให้ใช้งาน การเขียนโปรแกรมบางส่วนจะควบรวมอยู่ในโหมดขับเคลื่อน ซึ่งมักจะมีการตั้งค่า normal, sport หรือ off settings for the stability control รถบางรุ่นสามารถปรับตั้งค่าการตอบสนองของ ESP มากถึง 10 ระดับ ถ้าคิดว่ามีฝีมือมากพอก็ปิดทิ้งแล้วออกไปวัดดวงเอาเอง แต่ถ้าไม่มั่นใจ ควรเปิดให้มันทำงานเอาไว้ จะดีกว่าออกไปวิ่งตัวเปล่าโดยที่สกิลของตัวเองยังไม่เจ๋งพอ.
https://ift.tt/XokpOiD
รถยนต์
Bagikan Berita Ini
0 Response to "10 สิ่งที่ทำให้รถยนต์ยุคใหม่ไปเร็วขึ้น - ไทยรัฐ"
Post a Comment