Search

ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าประดาบก็เลือดเดือด - ไทยรัฐ

ในงานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 40 หรือ มอเตอร์เอ็กซ์โป 2023 ซึ่งนับเป็นงานแสดงและจำหน่ายรถยนต์และรถจักรยานยนต์ที่ยิ่งใหญ่ของไทย และประจำภูมิภาคอาเซียน มีกำหนดกระหึ่มระหว่างวันที่ 30 พฤศจิกายน - 11 ธันวาคม 2566 ณ อิมแพ็ค ชาเลนเจอร์ 1-3 เมืองทองธานี จัดโดยบริษัท สื่อสากล จำกัด หนึ่งในเจ้าพ่อสื่อสายยานยนต์ของบ้านเรา

ผู้ที่มาชมงานจะเห็นได้ชัดถึงความคึกคักของตลาดรถยนต์ไฟฟ้า ทั้งที่เป็นรถยนต์ไฟฟ้า 100% (BEV) และ รถยนต์ไฟฟ้าลูกผสมอย่างรถปลั๊กอินไฮบริด (PHEV)

โดยจะมีหลายค่ายรถยนต์พร้อมนำเสนอรถยนต์ไฟฟ้าทั้ง 2 ประเภทด้วยความกระตือรือร้น สอดรับกับความตื่นตัวของผู้บริโภค โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่หันมาสนใจรถยนต์ไฟฟ้ากันมากขึ้น

ทั้งยังมีค่ายรถเจ้าใหม่ๆ เข้ามาเปิดบูธร่วมแจมการนำเสนอรถยนต์ไฟฟ้าเป็นครั้งแรกในงานแสดงรถยนต์บ้านเรา อาทิ ค่ายเทสล่า (TESLA) จากสหรัฐอเมริกา และ ค่ายฉางอัน ออโตโมบิล (ChangAn) จากประเทศจีน

ทั้งหมดนี้นอกจากเป็นเพราะกระแสโลกที่ให้ความสนใจกับเรื่องสิ่งแวดล้อม ต้องการรถยนต์ที่ลดการปล่อยมลพิษ

ยังเป็นเพราะมาตรการของรัฐบาลในยุค พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ได้ออกมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า ทั้งระยะที่ 1 (EV 3.0) และต่อเนื่องมาเป็นระยะที่ 2 หรือ EV 3.5 ซึ่งรัฐบาลได้มีมาตรการลดแลกแจกแถม

โดยเฉพาะมาตรการช่วยอุดหนุนส่วนลดการซื้อรถยนต์ไฟฟ้าตั้งแต่ 70,000 - 150,000 บาท เพื่อแลกกับการที่บริษัทรถยนต์จะต้องเข้ามาลงทุนตั้งไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ได้ทำให้ราคาจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าถูกลงอย่างมาก เพื่อให้ประชาชนได้สามารถครอบครองเป็นเจ้าของรถยนต์ไฟฟ้า ขณะเดียวกันยังส่งเสริมให้มีการลงทุนขยายสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น ซึ่งยิ่งเพิ่มแรงจูงใจในการใช้รถยนต์ไฟฟ้า

เมื่อตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศเติบใหญ่ จะยิ่งทำให้บริษัทแม่ของค่ายรถยนต์ต่างๆ เพิ่มความสนใจที่จะเข้ามาลงทุนตั้งไทยเป็นฐานผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งนอกจากจะตั้งโรงงานประกอบรถยนต์ไฟฟ้าเพื่อการจำหน่ายในประเทศแล้ว หลายค่ายรถยนต์ยังมีแผนจะลงทุนให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเพื่อการส่งออกอย่างน้อยก็ประจำภูมิภาคนี้ และยังมีบางค่ายรถยนต์ที่ตั้งใจใช้ไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าพวงมาลัยขวาเพื่อการส่งออกไปทั่วโลกอีกด้วย

นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ รองประธาน และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยปีนี้คึกคักดีมากๆ ทิศทางรถยนต์ไฟฟ้ายังคงมาแรงต่อเนื่อง โดยยอดจดทะเบียนใหม่ (ป้ายแดง) สำหรับรถยนต์นั่งที่เป็นรถยนต์ไฟฟ้าประจำเดือน ต.ค.นี้อยู่ที่ 7,628 คัน เพิ่มขึ้นถึง 527.30% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน

“ทั้งนี้เป็นเพราะนโยบายส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้าของรัฐบาลที่ประกาศใช้เมื่อปีที่แล้วที่ลดอากรขาเข้าไม่เกินร้อยละ 40 สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าสำเร็จรูปที่นำเข้ามาในปี 2565-2566 ขายในประเทศราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท ถ้าขนาดแบตเตอรี่ 30 kWh. ขึ้นไปผู้ซื้อจะได้รับเงินอุดหนุน 150,000 บาทต่อคัน ขนาดแบตเตอรี่น้อยกว่า 30 kWh ผู้ซื้อจะได้รับเงินอุดหนุน 70,000 บาทต่อคัน และยังได้รับส่วนลดภาษีสรรพสามิตจากร้อยละ 8 เป็นร้อยละ 2 ทำให้รถยนต์ไฟฟ้ามีราคาถูกลงราวๆ 200,000 บาท”

“รถยนต์ไฟฟ้าบางรุ่นจึงมีราคาขายถูกกว่ารถยนต์ใช้น้ำมันบางรุ่นแล้ว ผู้ที่ลังเลว่าจะซื้อรถยนต์ไฟฟ้าดีไหมก็ตัดสินใจซื้อเร็วขึ้น ประกอบกับราคาน้ำมันก็ปรับขึ้นตลอดจนรถยนต์ที่ใช้น้ำมันวันละมากๆ แบกรับค่าเติมน้ำมันไม่ไหวจึงต้องซื้อรถยนต์ไฟฟ้ามาใช้ในชีวิตประจำวันเพื่อลดค่าใช้จ่าย”

รองประธาน และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ ส.อ.ท.ฟันธงว่า ปีนี้คาดว่ารถยนต์ไฟฟ้าในกลุ่มรถยนต์นั่งน่าจะมียอดขายกว่า 70,000 คัน เติบโตจากปีก่อนที่มียอดขาย 10,000 คัน

ส่วนปี 2567 คาดว่ายอดขายรถยนต์นั่งไฟฟ้าน่าจะมีโอกาสถึง 100,000 คัน

อันเป็นผลมาจากมาตรการส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้าระยะที่สอง (EV 3.5) ที่คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติลงมติเห็นชอบให้ลดอากรนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าสำเร็จรูปที่นำเข้าในปี 2567-2568 ไม่เกิน 40% เงินอุดหนุนผู้ซื้อรถยนต์ไฟฟ้า 50,000-100,000 บาทต่อคันกับรถยนต์ไฟฟ้าที่มีขนาดแบตเตอรี่ตั้งแต่ 50kWh ขึ้นไปโดยราคาขายไม่เกิน 2 ล้านบาท ส่วนรถยนต์ไฟฟ้าที่มีขนาดแบตเตอรี่ต่ำกว่า 50 kWh จะได้รับเงินอุดหนุน 20,000-50,000 บาท โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะหารือร่วมกันเพื่อกำหนดเงินอุดหนุนที่เหมาะสมและนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป

ส่วนรถยนต์ไฟฟ้าสำเร็จรูปที่มีราคาขายสูงกว่า 2 ล้านบาทแต่ไม่เกิน 7 ล้านบาทจะได้ลดภาษีสรรพสามิตจาก 8% เหลือ 2%
ดังนั้นปีหน้าจะมีรถยนต์ไฟฟ้าสำเร็จรูปนำเข้าที่มีขนาดแบตเตอรี่ใหญ่ขึ้น เทคโนโลยีสูงขึ้นเข้ามาขายในราคาถูกลงและรถยนต์ไฟฟ้าสำเร็จรูปราคาไม่เกิน 2 ล้านบาทที่ยังได้รับเงินอุดหนุนและได้ลดภาษีสรรพสามิตขายในประเทศไทยบวกกับรถยนต์ไฟฟ้าที่จะผลิตในประเทศไทยตั้งแต่กลางปีเป็นต้นไป ซี่งยังคงได้รับเงินอุดหนุน 150,000 บาทและลดภาษีสรรพสามิตเหลือ 2% ราคาขายน่าจะเท่าเดิม

“จึงมั่นใจว่ารถยนต์ไฟฟ้าน่าจะขายได้ถึงหลักแสนคันในปีหน้า”

นายสุรพงษ์ กล่าวว่า การที่รถยนต์ไฟฟ้ากำลังได้รับความนิยมมากในขณะนี้ ทำให้ในช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้ได้รุกเอาส่วนแบ่งตลาดรถยนต์โดยรวมไปแล้ว 8.69% ซึ่งก็เป็นไปตามตลาดต่างประเทศในหลายประเทศที่รถยนต์ไฟฟ้ามีส่วนแบ่งตลาดมากขึ้น เพื่อลดการผลิตเชื้อเพลิงฟอสซิลลงจากภารกิจเร่งด่วนที่จะให้ได้ความเป็นกลางทางคาร์บอน (carbon neutrality) ภายในปี 2593 นี่พูดเฉพาะรถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คนเท่านั้น ไม่รวมรถกระบะไฟฟ้า รถแท็กซี่ไฟฟ้า รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า รถบัสไฟฟ้า และรถบรรทุกไฟฟ้า ซึ่งก็เข้ามามีส่วนแบ่งในตลาดเพิ่มขึ้นมาตลอด

รองประธาน และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ ส.อ.ท. ยังย้ำว่าตั้งแต่ปี 2570 รถยนต์ไฟฟ้าที่นำเข้ามาขายตามมาตรการ EV 3.0 และ EV 3.5 ก็จะผลิตในประเทศไทยทุกบริษัท ทั้งเพื่อส่งออกและจำหน่ายในประเทศ ส่งผลให้ประเทศไทยจะเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่สำคัญของโลกกับเป็นผู้ผลิตรถยนต์ใช้น้ำมันที่สำคัญของโลกด้วยเช่นกัน

จึงอย่าแปลกใจที่หลายค่ายรถยนต์ที่เคยใจเย็นเรื่องรถยนต์ไฟฟ้า ไม่อาจจะทนนิ่งเฉยได้อีกต่อไป ต้องหันมาเพิ่มการลงทุนในตลาดนี้อย่างจริงจัง

สงครามตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในบ้านเรานับแต่นี้มีแต่จะระอุเดือด!!!

Adblock test (Why?)

อ่านบทความและอื่น ๆ ( ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าประดาบก็เลือดเดือด - ไทยรัฐ )
https://ift.tt/TBaJ1hX
รถยนต์

Bagikan Berita Ini

0 Response to "ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าประดาบก็เลือดเดือด - ไทยรัฐ"

Post a Comment

Powered by Blogger.