Search

'ลองแล้วจะติดใจ' วิจัยชี้ใช้ EV แล้วไม่หวนใช้รถสันดาปภายในอีก - ผู้จัดการออนไลน์

ยุคก่อนที่รถยนต์ BEV หรือ Battery Electric Vehicle จะกลายเป็นกระแสหลักของโลกรถยนต์ยุคนี้ และยุคหน้า สิ่งที่เป็นอุปสรรคสำคัญต่อการเปลี่ยนผ่านคือ ความกลัวต่อความเปลี่ยนแปลง เพราะผู้บริโภคยุคเมื่อ 10-15 ปีที่แล้วยังกังวลต่อการก้าวข้ามกำแพงและย้ายจากการขับรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในที่พวกเขาคุ้นเคยกันมากว่า 100 ปีมาสู่ของใหม่ที่เพิ่งอยู่ในยุคเริ่มต้นของเทคโนโลยี

อย่างไรก็ตาม หลังจากปี 2015 ตลาดรถยนต์เริ่มเติบโตและหลายแบรนด์รถยนต์เริ่มวางนโยบายในการก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของการเดินทางที่สอดคล้องกับนโยบายของทางภาครัฐ และเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้าไม่ใช่ของใหม่เหมือนกับเมื่อก่อน สิ่งเหล่านี้ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความเชื่อและทัศนคติของคนขับรถยนต์ ที่ถูกทำให้เปลี่ยนไป

การเซอร์เวย์ครั้งล่าสุด สิ่งที่น่าสนใจคือ ผลตอบรับของคนที่ซื้อรถยนต์คันแรกในชีวิตและเป็นรถยนต์ไฟฟ้า ดีเกินความคาดหมาย และส่วนใหญ่ระบุอย่างชัดเจนว่าจะใช้รถยนต์ไฟฟ้าต่อไป แม้ว่ายังกังวลหรือไม่มั่นใจต่อระบบสาธารณูปโภคและเทคโนโลยีที่ยังมีข้อจำกัดในเรื่องการใช้งาน


เมื่อใช้แล้วและไม่ขอหวนคืน

งานวิจัยครั้งล่าสุดของ J.D. Power บริษัทวิจัยชื่อดังที่ได้ทำการสำรวจทัศนคติของคนซื้อรถยนต์ในสหรัฐอเมริกา ผลที่ได้คือการแสดงให้เห็นถึงทิศทางและแนวโน้มที่น่าสนใจซึ่งจะสอดคล้องต่อการขยายตัวของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในอนาคตเป็นอย่างดี

จากการเปิดเผยของการวิจัยที่ใช้กลุ่มตัวอย่างในสหรัฐอเมริกานั้นพบว่า ผู้ที่ซื้อรถยนต์ไฟฟ้าเป็นรถยนต์คันแรกในชีวิตของตัวเองนั้น ต่างยืนยันว่า พวกเขาไม่มีทางที่จะเปลี่ยนกลับไปใช้รถยนต์ที่มีเครื่องยนต์สันดาปภายใน แม้ว่าความกังวลยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานการชาร์จกระแสไฟฟ้าที่ยังเป็นประเด็นถกเถียงกันอย่างต่อเนื่องในด้านการลงทุนของทางภาครัฐในการสร้างสถานีชาร์จกระแสไฟฟ้า

การทำวิจัยในเรื่องความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากการเป็นเจ้าของรถยนต์ไฟฟ้าเป็นครั้งแรกโดยกลุ่มตัวอย่างสหรัฐอเมริกา หรือ Electric Vehicle Experience (EVX) ปี 2022 พบว่าค่าดัชนีแห่งความพึงพอใจของผู้ที่ตัดสินใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้าแบบ BEV เป็นรถยนต์คันแรกในชีวิตนั้นอยู่ที่ 754 โดยเฉลี่ย (จากระดับเต็ม 1,000 คะแนน) ถือว่าใกล้เคียงกับระดับ 766 คะแนนที่เกิดขึ้นกลุ่มผู้มีประสบการณ์การเป็นเจ้าของ BEV มาก่อน

สำหรับการศึกษาได้พิจารณาปัจจัยต่างๆ รวมถึงความแม่นยำและเที่ยงตรงในการระบุช่วงการใช้งานของแบตเตอรี่ที่มีอยู่ ความพร้อมใช้งานของแท่นชาร์จสาธารณะ ต้นทุนในการเป็นเจ้าของรถยนต์ไฟฟ้า ความเพลิดเพลินในการขับขี่ ความสะดวกในการชาร์จที่บ้าน การออกแบบภายในและภายนอก คุณลักษณะด้านความปลอดภัยและเทคโนโลยี ประสบการณ์การบริการ และคุณภาพและความน่าเชื่อถือของรถ

การวิจัยครั้งนี้ถือว่ามีเป็นแนวโน้มที่ดีในการแสดงให้เห็นว่า พฤติกรรมและทัศนคติของผู้ใช้รถยนต์เริ่มเปลี่ยนไป และรถยนต์ไฟฟ้าสามารถสร้างประสบการณ์ที่ดีในการทำให้ผู้ใช้เกิดความประทับใจและถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการเปลี่ยนความคิดของผู้ใช้รถยนต์

Brent Gruber ผู้อำนวยการอาวุโสที่ดูแลในส่วนภาพรวมของตลาดรถยนต์ทั่วโลกของ J.D. Power กล่าวว่า ‘เราทราบจากการวิจัยของเราว่า ยังมีผู้บริโภคจำนวนหนึ่งที่มีความกังวลระหว่างกระบวนการพิจารณาซื้อด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้รถยนต์ไฟฟ้า เช่น ความจุของแบตเตอรี่ที่ส่งผลต่อระยะทางการใช้งาน และระยะเวลาการชาร์จ อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขาตัดสินใจซื้อ BEV กันแล้ว สิ่งพวกนี้ไม่ใช่ปัญหา และพวกเขาค่อนข้างจะติดใจกับการใช้รถยนต์ไฟฟ้า’


ต้องก้าวข้ามรถยนต์ไฮบริดให้ได้ก่อน

เมื่อเปรียบเทียบกับตลาดรถยนต์จีน แม้ว่าสหรัฐอเมริกาจะมียอดขายรถยนต์ไฟฟ้าไม่สูงเท่า แต่การสำรวจครั้งล่าสุดพบว่าจำนวนประชากรของรถยนต์ไฟฟ้าแบบ BEV ยังมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และปัจจุบันมีรถยนต์ยอดขายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ยังไม่สูงแบบมีตัวเลขเยอะจนน่าตกใจ

มีการวิเคราะห์ว่า ตัวเลขยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในสหรัฐอเมริกาน่าจะไปได้ดีกว่านี้ ถ้าหากผู้ใช้รถยนต์เปลี่ยนแนวคิดกันมากขึ้น โดยหนึ่งในอุปสรรคสำคัญของการเติบโตของตลาดรถยนต์ไฟฟ้า นอกจากจะอยู่ที่ทัศนคติและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคแล้วยังอยู่ที่ความแข็งแกร่งของรถยนต์ไฮบริดที่ยังครองใจคนที่นี่อยู่

แน่นอนว่าเรื่องของความยุ่งยากในการชาร์จ ระยะทางที่แล่นยังไม่เยอะและสอดคล้องกับความต้องการ รวมถึงความยืนหยุ่นในการใช้งานที่น้อยของรถยนต์ไฟฟ้าทำให้สิ่งเหล่านี้เป็นอุปสรรคอยู่ และทำให้คนอเมริกันส่วนใหญ่ยังยึดมั่นในรถยนต์ไฮบริดอยู่ โดยดูจากยอดขายปี 2021 พบว่าตัวเลขยอดขายด้านภาพรวมของปี 2021 เพิ่มขึ้นถึง 76% เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2020 โดยอยู่ที่ 801,550 คัน

ขณะที่ตลาดรถยนต์ไฟฟ้ามียอดขายรวมแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น คือ 434,879 คัน แต่ที่น่าสนใจคือ อัตราการเพิ่มขึ้นในลักษณะแบบก้าวกระโดดเมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนหน้า โดยตัวเลขนี้เติบโตขึ้นจากปี 2020 ถึง 83%

จากการที่ตลาดรถยนต์ไฮบริดยังแข็งแรงอยู่นั้น ส่วนหนึ่งทำให้แบรนด์รถยนต์ที่มีรถยนต์ประเภทนี้เป็น Core Product อยู่ต้องยืดช่วงเวลาในการเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าของตัวเองออกไป เช่นฮอนด้าซึ่งวางแผนที่จะเริ่มจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าล้วนรุ่นแรกของตัวเองในสหรัฐอเมริกาในปี 2024 ด้วยเหตุผลเรื่องการวางแผนการเปิดตัวโปรดักต์เอาไว้แล้ว และยังมองว่าตลาดรถยนต์ไฟฟ้ายังต้องใช้เวลาอีกสักระยะในการเติบโต

‘เราเตรียมที่จะเปิดตัวรถยนต์รุ่นหลักๆ ที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์ไฮริด เช่น CR-V และ Accord เพื่อเป็นการเตรียมตัวการเข้าสู่ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าแบบ BEV อย่างเต็มตัว’ Dave Garner รองประธานบริหารของ Honda America กล่าว ‘ตอนนี้ทุกอย่างเป็นเรื่องของเวลาเท่านั้น ต้องใช้เวลาอีกสักระยะกว่าที่ผู้บริโภคจะเดินตามทัน’

ปัจจุบันฮอนด้ามียอดขายรถยนต์ไฮบริดในสหรัฐอเมริกามากเป็นอันดับ 2 ด้วยตัวเลข 107,060 คัน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2020 ถึง 67%


นโยบายภาครัฐยังเป็นตัวผลักดันที่สำคัญ

เรื่องความกังวลที่มีต่อตัวรถยนต์ไฟฟ้าคือส่วนนึ่งที่เกิดขึ้นแต่ก็ถือว่าไม่มากจนถึงขั้นเป็นอุปสรรคในการเติบโต แต่ทว่าถ้าต้องการให้ตลาดรถยนต์ไฟฟ้ามีการขยายตัวและเป็นกระแสหลักของการเดินทางสำหรับคนในยุคหน้า การสนับสนุนจากทางภาครัฐทั้งนโยบายและงบประมาณถือเป็นเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กัน

ที่ผ่านมาแม้ว่าสหรัฐอเมริกาจะพยายามผลักดันให้รถยนต์ไฟฟ้าเติบโตอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ทศวรรษที่ 2010 แต่ทว่าด้วยความพร้อมหลายๆ ด้านทั้งตัวผลิตภัณฑ์ ผู้ใช้ ภาพรวมของตลาดไล่ไปจนถึงระบบสาธารณูปโภค แม้จะมีการออกนโยบายในการสนับสนุนหรือให้ Incentive และ Green Tax เพื่อลดราคาของรถยนต์ไฟฟ้าให้ต่ำลงจนสามารถเป็นเจ้าของได้ง่ายขึ้น แต่ก็ยากที่จะผลักดันให้มีการเติบโตได้อย่างอย่างเป็นรูปธรรม

อย่างไรก็ตาม หลังการเข้ามารับตำแหน่งของประธานาธิบดี Joe Biden เมื่อปีที่แล้ว สิ่งหนึ่งที่ถือเป็นนโยบายหลักที่ถูกประกาศออกมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเปลี่ยนรถยนต์ของหน่วยงานรัฐประมาณ 650,000 คันให้เป็นรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมดภายใต้แนวคิด Green Diplomacy ตามด้วยการเทงบประมาณสำหรับสนับสนุนการเติบโตของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าด้วยการขยายระบบสาธารณูปโภค เช่น แท่นชาร์จสาธารณะทั่วสหรัฐอเมริกา และล่าสุดเมื่อปลายปีที่แล้ว คือ ส่งเสริมการขายรถไฟฟ้าให้มากถึง 50% ของยอดรวมทั้งหมดให้ได้ภายในปี 2030

ทั้งหมดถือเป็นปัจจัยสำคัญในการบ่งชี้ถึงทิศทางของการขยายตัวของตลาดรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งไม่เฉพาะแค่ในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น แต่ยังหมายถึงตลาดภูมิภาคอื่นๆ ทั่วโลกด้วย และเมื่อบวกกับผลลัพธ์ที่มาจากการวิจัยที่ออกมาในเชิงบกและเอื้อต่อการเติบโตของรถยนต์พลังไฟฟ้า เชื่อว่า อีกไม่นาน รถยนต์ไฟฟ้าแบบ BEV จะกลายเป็นกระแสหลักในการเดินทางของเราๆ ท่านๆ อย่างแน่นอน

Adblock test (Why?)

อ่านบทความและอื่น ๆ ( 'ลองแล้วจะติดใจ' วิจัยชี้ใช้ EV แล้วไม่หวนใช้รถสันดาปภายในอีก - ผู้จัดการออนไลน์ )
https://ift.tt/J8XN2bp
รถยนต์

Bagikan Berita Ini

0 Response to "'ลองแล้วจะติดใจ' วิจัยชี้ใช้ EV แล้วไม่หวนใช้รถสันดาปภายในอีก - ผู้จัดการออนไลน์"

Post a Comment

Powered by Blogger.