นายจาตุรนต์ โกมลมิศร์ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ บริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ในฐานะรองประธานจัดงาน กล่าวว่า งานบางกอกมอเตอร์โชว์ปีนี้เป็นปีของยานยนต์ไฟฟ้า ผู้บริโภคต่างให้ความสนใจพร้อมเปิดรับความเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะเมื่อบริษัทรถยนต์หันมาทำตลาดรถยนต์ไฮบริด หรือรถปลั๊กอินไฮบริด เพิ่มมากขึ้น ส่วนตลาดรถยนต์ไฟฟ้าต่อจากนี้คงต้องจับตาเมื่อมีผู้เล่นหน้าใหม่หันมาชิงตลาดนี้ในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น
ข่าวแนะนำ
ทั้งนี้ เมื่อเอ่ยถึง “รถยนต์ไฟฟ้า” ปัจจุบันมีการจัดแบ่งเป็น 3 ประเภท ได้แก่ 1.รถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้า 100% หรือ Battery Electric Vehicle (BEV) ใช้กระแสไฟฟ้าจากแบตเตอรี่จ่ายตรงไปยังมอเตอร์ไฟฟ้าเพื่อทำหน้าที่ขับเคลื่อนรถยนต์แบบเดียวโดยไม่มีเครื่องยนต์ที่ใช้พลังงานประเภทน้ำมัน ต้องอาศัยการเสียบปลั๊กชาร์จไฟฟ้าเข้ามาเป็นพลังงาน สามารถวิ่งได้ในระยะทางราว 300-400 กม.ต่อการชาร์จเต็ม
จุดเด่นของรถยนต์ประเภทนี้ คือ ค่าบำรุงรักษาต่ำกว่ารถยนต์แบบใช้น้ำมัน 2–3 เท่าตัว และค่าใช้จ่ายด้านพลังงานต่อการใช้งานในทุก 1 กม.ต่ำกว่าถึง 2 เท่าตัว
ตัวอย่างรถ BEV ที่มีจำหน่ายขณะนี้ เช่น เทสลา, ปอร์เช่ ไทคันน์, อาวดี้ อี-ทรอน, นิสสันลีฟ, ฮุนได ไอโอนิก เอ็มจี แซดเอสอีวี และ เอ็มจี อีพี โดยเอ็มจีนับว่ากินตลาดนี้เกือบ 90% เพราะทั้ง 2 รุ่นราคาเย้ายวนใจ ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงได้ขณะที่ระยะทางการใช้งานก็มีมากระดับ 330-380 กม. โดยรถเอ็มจี แซดเอสอีวี ราคาอยู่ที่ 1.19 ล้านบาท ส่วนเอ็มจีอีพี 988,000 บาท
2.รถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าแบบปลั๊ก-อิน ไฮบริด (PHEV) ใช้กระแสไฟฟ้าจากแบตเตอรี่จ่ายตรงไปยังมอเตอร์ไฟฟ้าเพื่อทำหน้าที่ขับเคลื่อนรถยนต์ควบคู่ไปกับการทำงานของเครื่องยนต์ที่ใช้พลังงานเชื้อเพลิงจากน้ำมัน ซึ่งคล้ายคลึงกับการทำงานของรถยนต์แบบไฮบริด นอกจากนี้รถยนต์ประเภทนี้ยังสามารถใช้พลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่เพียงอย่างเดียว ซึ่งก็จะคล้ายคลึงกับรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% หรือ BEV แต่มีระยะทางในการใช้ที่จำกัด

รถยนต์ไฟฟ้าแบบปลั๊ก-อิน ไฮบริด ที่มีจำหน่ายขณะนี้ อาทิ เมอร์เซเดส เบนซ์ ซี 350 อี และ เมอร์เซเดส เบนซ์ อี 350 อี, บีเอ็มดับเบิลยู 530 อี และบีเอ็มดับเบิลยู 330 อี, มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ และ เอ็มจี เอชเอส พีเอชอีวี
โดยรถยนต์ปลั๊ก-อิน ไฮบริด ที่มีราคาจำหน่ายต่ำที่สุดในท้องตลาดและมีระยะทางวิ่งในโหมด EV ได้ไกลที่สุด ก็คือ เอ็มจี เอชเอส พีเอชอีวี สนนราคาอยู่ที่ 1,359,000 บาท
และ 3.รถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าแบบไฮบริด (Hybrid–HEV) รถยนต์ประเภทนี้มีเครื่องยนต์ที่ใช้พลังงานน้ำมันเป็นหลัก แต่มีมอเตอร์และแบตเตอรี่ที่คอยช่วยเสริมการทำงานของเครื่องยนต์เช่นเดียวกับรถยนต์แบบปลั๊ก-อิน ไฮบริด แต่ไม่สามารถชาร์จไฟฟ้าได้โดยตรง จะมีการชาร์จไฟฟ้าเข้าสู่แบตเตอรี่จากการทำงานของเครื่องยนต์ เมื่อมีพลังงานแบตมากพอ ก็สามารถนำไฟฟ้ามาขับเคลื่อนมอเตอร์เพื่อช่วยการทำงานของเครื่องยนต์
ตัวอย่าง รถยนต์ประเภทไฮ-บริดในท้องตลาด อาทิ โตโยต้า คัมรี่ ไฮบริด, โตโยต้า อัลพาร์ด ไฮบริด, ฮอนด้า แอคคอร์ด ไฮบริด และอีกหลายรุ่นของรถยนต์ทั้งสองบริษัทนี้
อย่างไรก็ดีแม้ผู้บริโภคชาวไทยได้ให้ความสนใจรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น โดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้าแบบ 100% หรือ BEV เห็นได้จากงานบางกอกมอเตอร์โชว์ที่ผ่านมา ซึ่งมีผู้บริโภคพากันมุงดูรถประเภทนี้กันอย่างมาก
แต่เมื่อกลับมามองในส่วนของยอดขาย กลับไม่คึกคักเท่าที่ควร เพราะมีหลากหลายปัจจัยที่มาฉุดรั้ง
เริ่มตั้งแต่ราคาจำหน่ายรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้ายังมีราคาที่สูงเมื่อเทียบกับรถยนต์ทั่วไป ขณะที่ราคาแบตเตอรี่ของรถยนต์ประเภทนี้ก็ค่อนข้างแพง ทำให้ผู้บริโภคต้องชั่งใจหนักว่าคุ้มหรือไม่คุ้มกันแน่
ขณะที่สถานีอัดประจุไฟฟ้าหรือสถานีชาร์จไฟฟ้าสำหรับรถยนต์ไฟฟ้ายังมีไม่มากเพียงพอ ไม่กระจายทั่วไทย โดยการขออนุญาตจำหน่ายไฟฟ้าแบบสถานีอัดประจุไฟฟ้าที่ไม่ใช่สถานีบริการเชื้อเพลิงยังคงทำได้อย่างยากลำบาก มีขั้นตอนและระยะเวลาในการดำเนินงานที่ยาวนาน
ที่สำคัญในส่วนของบ้านพักอาศัยบางแห่งก็ไม่สามารถติดตั้งจุดชาร์จไฟที่บ้านของตนเองได้ เนื่องจากการไฟฟ้าฯ ได้จัดสรรปริมาณไฟฟ้าให้พอใช้งานในพื้นที่แต่ไม่ได้รองรับอย่างเพียงพอต่อการใช้งานของเครื่องชาร์จไฟ
ขณะที่บ้านพักอาศัยแบบคอนโดมิเนียม ก็ไม่เอื้อต่อการชาร์จไฟ ทั้งที่ลูกค้าซึ่งพักอาศัยอยู่ตามคอนโดมิเนียมกับลูกค้ารถยนต์ประเภทนี้มักเป็นกลุ่มเดียวกัน
ทำให้สุดท้ายแล้วตลาดรถยนต์ไฟฟ้าบ้านเราก็ยังคงไปได้ไม่ฉลุยเท่าที่ควร!!!
เจริญสุข ลิมป์บรรจงกิจ
https://ift.tt/3gnzbVj
รถยนต์
Bagikan Berita Ini
0 Response to "ใครอยากซื้อรถยนต์ไฟฟ้า อ่านตรงนี้ก่อน - ไทยรัฐ"
Post a Comment