
คำสบประมาทที่ว่า ยังอีกนานกว่ารถยนต์ไฟฟ้าจะเข้ามาเบียดแชร์ในตลาดรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน
ถึงวันนี้อาจจะต้องทบทวนกันใหม่ซะแล้ว เพราะจากตัวเลขที่ปรากฏและมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยมีการประเมินกันว่า ภายในปี 2564
ประเทศไทยน่าจะมีรถยนต์ในกลุ่ม xEV ที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้า ทั้งไฮบริด, ปลั๊ก-อิน ไฮบริด และบีอีวี มากถึง 5 หมื่นคัน
แม้ว่าประเทศไทยจะเป็นตลาดเกิดใหม่สำหรับรถยนต์ในกลุ่ม xEV แต่อัตราการเติบโตถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดีทีเดียว
มีอัตราเร่งตัวสูงมาก หลังการเข้ามาแข่งขันของค่ายรถจากจีน ทั้งเอ็มจี และเกรทวอลล์มอเตอร์ ซึ่งพยายามตั้งราคาขายที่จับต้องได้ง่าย หรือระดับราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท
นอกจากนี้ รถยนต์รุ่นใหม่ ๆ ของแต่ละค่ายที่ทำคลอดออกมา ส่วนใหญ่ก็มุ่งเน้นนำมอเตอร์ไฟฟ้าเข้าไปร่วมในการขับเคลื่อนด้วย ทั้งไฮบริด และปลั๊ก-อิน ไฮบริด
เรียกว่ากลายมาเป็นโมเดลมาตรฐานของแต่ละค่ายไปแล้ว
ซึ่งจะเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้จำนวนยอดขายรถยนต์ในกลุ่มนี้ปรับเพิ่มขึ้น
ส่วนที่เป็นบีอีวีใช้มอเตอร์ไฟฟ้าแบบ 100% ก็เชื่อว่าในปี 2564 นี้ มีโอกาสเติบโตจากการได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอ ทั้งเฟสแรก และเฟสสอง เช่นกัน
แถมยังได้สิทธิ์ภาษีนำเข้า 0% ผ่านข้อตกลงการค้าเสรีไทย-จีน ทำให้สามารถนำเข้ามาจำหน่ายในช่วงแรกได้ด้วยระดับราคาไม่สูงนัก ก่อนจะผลิตเพื่อทำตลาดในประเทศในอนาคต
เช่นเดียวกับค่ายรถหรูฝั่งยุโรป ช่วงหลังก็ทยอยรุกตลาดกลุ่มบีอีวีมากขึ้น แม้ตัวเลขยอดขายอาจจะยังไม่สูงนัก เนื่องจากยังเป็นนิชมาร์เก็ต ตัวเลขน่าจะประมาณ 4,000 ถึง 5,000 คัน
แต่ก็ถือเป็นการขยายตัวแบบก้าวกระโดดมากกว่า 200%
ส่วนการที่จะทำให้ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในอนาคตเติบโตขึ้น คงต้องฝากความหวังไว้กับภาครัฐและเอกชนที่จะต้องเร่งเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับตลาด ซึ่งมีกำลังซื้อพร้อมอยู่แล้ว
แต่ยังขาดความมั่นใจในเรื่องของการวางเครือข่ายสถานีชาร์จไฟฟ้าที่ทั่วถึง เพราะรถยนต์ไฟฟ้าปัจจุบันยังมีข้อจำกัดในเรื่องระยะทางการวิ่ง
โดยข้อมูลสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทยปัจจุบันพบไทยยังมีสถานีชาร์จไฟฟ้าเพียงประมาณ 647 แห่ง (1,974 หัวจ่าย) หรือคิดเป็นสัดส่วนสถานีชาร์จ 1 แห่งต่อพื้นที่ 793 ตารางกิโลเมตรเท่านั้น
หนำซ้ำยังกระจุกตัวอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นตัวเลขที่ยังต่างกันมากกับประเทศที่กำลังแสดงความมุ่งมั่นที่จะพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าให้เติบโต เช่น อเมริกา
ปัจจุบันมีสถานีชาร์จเรียบร้อยแล้วกว่า 28,000 สถานี (90,000 หัวจ่าย) คิดเป็นสัดส่วนสถานีชาร์จ 1 แห่งต่อพื้นที่ 351 ตารางกิโลเมตร
และภายในปี 2573 สหรัฐมีแผนจะเร่งเพิ่มหัวจ่ายขึ้นอีก 500,000 หัวจ่าย อันจะทำให้สัดส่วนสถานีชาร์จของสหรัฐจะเพิ่มขึ้นเป็น 1 แห่งต่อพื้นที่ 53 ตารางกิโลเมตร
อีกอย่างหนึ่งก็คือมาตรการกระตุ้นตลาดอื่น ๆ ก็น่าจะช่วยดึงดูดการลงทุนได้มากกว่าเดิม โดยเฉพาะการเน้นกลยุทธ์สร้างให้เกิดคลัสเตอร์ชิ้นส่วนรถยนต์กลุ่ม xEV
ตรงนั้นจะเป็นแม่เหล็กดูดค่ายรถให้เข้ามาลงทุนได้มากขึ้นในปีหน้า รวมถึงหากมีการนำมาตรการกระตุ้นตลาดที่เน้นให้ประโยชน์กับรถยนต์กลุ่ม xEV เข้ามาพิจารณา
ให้สิทธิประโยช์ในช่วงจังหวะที่เหมาะสมเพิ่มเติมในปีหน้า อาจมีผลทำให้ยอดขายรถยนต์กลุ่ม xEV ปรับเพิ่มสูงขึ้นกว่าที่คาดได้
ขณะที่ส่วนรถยนต์ในกลุ่มที่ใช้เครื่องยนต์ ในปี 2564 ถ้าการแพร่เชื้อไวรัสโควิด-19 ยังอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ และไม่ทำให้รัฐบาลต้องออกมาใช้มาตรการล็อกดาวน์อีกครั้ง
โอกาสที่จะขยายตัวได้ดี นอกจากจะเป็นเพราะฐานที่ต่ำในปี 2563 แล้ว
การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่คาดว่าจะทยอยเกิดขึ้นตลอดช่วงปีหน้าก็คาดว่าจะช่วยกระตุ้นยอดขายรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะกลุ่มรถยนต์อเนกประสงค์ที่ขยายตัวตามเทรนด์ตลาดปัจจุบัน และรถปิกอัพที่คาดว่าจะเติบโตตามทิศทางการลงทุนในอุตสาหกรรมต่าง ๆ
ส่งผลให้ยอดขายรถยนต์รวมน่าจะเพิ่มถึง 800,000 คันได้
ขอบคุณข้อมูล ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
อ่านบทความและอื่น ๆ ( เทรนด์รถยนต์ไฟฟ้ามาแรง ค่ายรถแจ้งเกิด...กดราคาต่ำล้าน - ประชาชาติธุรกิจ )https://ift.tt/3dd5Lau
รถยนต์
Bagikan Berita Ini
0 Response to "เทรนด์รถยนต์ไฟฟ้ามาแรง ค่ายรถแจ้งเกิด...กดราคาต่ำล้าน - ประชาชาติธุรกิจ"
Post a Comment